“STEM” คืออะไร
ผศ.ดร.ชลาธิป สมาหิโต
ได้ให้คำจำกัดความของ STEM ไว้ว่า เป็นการจัดการศึกาแบบบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์
และคณิตศาสตร์
โดยนำลักษณะทางธรรมชาติของแต่ละวิชามาผสมผสานปละจัดเป็นการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ซึ่งชื่อของ “STEM” เกิดจากการย่อชื่ออักษรตัวแรกของ
4 สาระวิชาเข้าด้วยกันคือ
1.Science
หมายถึง วิทยาศาสตร์
2.Technology หมายถึง เทคโนโลยี
3.Engineering หมายถึง วิศวกรรมศาสตร์
3.Engineering หมายถึง วิศวกรรมศาสตร์
4.Mathematic
หมายถึง คณิตศาสตร์
สรุปแล้ว STEM
กำเนิดขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาศักยภาพทั้ง 4
ด้านของเด็กให้มีความพร้อมที่จะก้าวไปสู่การพัฒนาความรู้ในระดับสูงขึ้น
อีกทั้งเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันกันในสังคมเศรษฐกิจของประเทศและเป็นการต่อยอดโอกาสในการเรียนรู้
หรือการทำงานของประชากรในอนาคตต่อไป
ดังนั้นการบูรณาการเรื่อง
STEM สู่การเรียนการสอนของเด็กปฐมวัยจึงไม่ใช่เรื่องยากเพียงแค่ครูจัดกิจกรรมหรือสร้างสถานการณ์ต่างๆแล้วกำหนดปัญหาขึ้นมาให้เด็กได้ฝึกฝนการแก้ปัหา เป็นการกระตุ้นให้เด็กได้คิด ได้แสดงความสามารถที่หลากหลาย
หากผลการทลองหรือการแก้ปัญหาที่เด็กค้นพบนั้นยังไม่ถูกต้องตามที่ครูกำหนดไว้
ครูควรให้เด็กได้ทดลองหรือปฏิบัติซ้ำเพื่อหาคำตอบที่ถูกต้อง โดยครั้งนี้ครูอาแนะนำหาความรู้เพิ่มเติมให้แก่แก่เด็ก
เพื่อช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ครูยังสามารถนำ STEM มายูรณาการกับทักษะในด้านอื่นๆ
ได้อีก เช่น การจัดการศึกษาแบบ STEM Education ที่มีการนำ STEM
มาบูรณาการกับทั้กษะทางศิลปะ
เพื่อจะทำให้เด็กได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการในการออกแบบชิ้นงานนั้นๆให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้
“STEM Education” จึงเป็นการศึกษาที่เหมาะกับการเรียนการสอนของเด็กยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก
ด้วยเนื้อหาที่มีความแปลกใหม่
และเป็นการบูรณาการสาขาวิชาแนงต่างๆเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว จึงไม่น่าแปลกที่ “STEM
Education” จะเป็นการศึกากระแสใหม่ที่กำลังมาแรงของวงการการศึกษาในบ้านเรา
บทความฉบับเต็ม
บทความฉบับเต็ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น